Tuesday, December 8, 2009

ข้อควรระวังในการฝึกกลืนผู้ป่วยที่มีสาย N-G

ข้อควรระวังในการฝึกกลืนผู้ป่วยที่มีสาย N-G

ผมอยากให้นักกิจกรรมบำบัดโปรดระวังในการฝึกผู้ป่วยที่ยังให้อาหารทางสาย N-G และมีความต้องการฝึกความสามารถในการกลืนอาหาร

เมื่อวานผมใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ก่อนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาและ Appreciative Inquery ของนักกายภาพบำบัดและนักกิจกรรมบำบัด คลินิกคณะกายภาพบำบัด ม.มหิดล

ผมสังเกตกระบวนการบำบัดฟื้นฟูที่นักกิจกรรมบำบัดรุ่นน้องกำลังช่วยเหลือ คุณลุงที่มีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกินและกลืนอาหาร และยังอยู่ในสภาวะให้อาหารทางสายผ่านช่องจมูกลงสู่หลอดอาหารและกระเพาะด้วย อาหารปั้น

โดยทั่วไป...นักกิจกรรมบำบัดพยายามปรับอาหาร นวดกล้ามเนื้อบริเวณปาก -ลิ้น-คอ แล้วคอยระวังอาการสำลักอาหารในแต่ละคำที่ให้ นักกิจกรรมบำบัดหลายท่านยืนให้อาหารผู้ป่วยทางด้านข้างบ้างด้านหน้าบ้าง แล้วให้ญาติสังเกตว่ากำลังฝึกอะไรผู้ป่วยบ้าง

ในฐานะนักกิจกรรมบำบัดที่มีความสนใจและฝึกฝนทักษะทางคลินิกสำหรับการ พัฒนาทักษะความสามารถของผู้ป่วยที่มีความบกพร่องในการกินและกลืนอาหาร ผมจึงเข้าตรวจประเมินและสาธิตการฝึกให้นักกิจกรรมบำบัดและญาติของผู้ป่วยราย นี้ โดยหวังว่าจะเป็นกรณีศึกษาที่นักกิจกรรมบำบัดหรือผู้สนใจท่านอื่นๆ จะได้ระวังอาการสำลักที่ไม่แสดงออก (Silent Aspiration) จนเกิดอาการไอมากเกินปกติ

ผมขอสรุปข้อควรระวัง ดังนี้

  • ในขณะที่ผู้ป่วยนั่งตรง ควรสังเกตสีหน้า ท่าทาง และการตอบสนองต่อคำสั่งว่าเหมาะสมอย่างไร หากผู้ป่วยสีหน้าเฉย ไม่สื่อสารแสดงความรู้สึก และสายตาไม่มองอาหารที่ป้อน ขอให้เข้าใจว่าผู้ป่วยมีความล้าทางความคิด (Cognitive Fatigue) ที่ผู้ฝึกควรหยุดพักการป้อนอาหาร แล้วกระตุ้นความสนใจให้ผู้ป่วยรู้สึกสื่อสารและทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างสบายๆ เช่น คุยเล่นว่าชอบทานอาหารอะไร แล้วชี้ให้มองและสัมผัสอาหารนั้นๆ
  • ในขณะที่ป้อนอาหารชนิดข้นหรือเหลวแก่ผู้ป่วย ให้ผู้ฝึกสังเกตตั้งแต่การ จัดการอาหารในช่องปากว่ามีการอมค้างตรงกระพุ้งแก้ม การอมน้ำลายมากเกินปกติ การอมค้างบริเวณลิ้นส่วนปลายที่ต่อลงไปถึงรอยแยกระหว่างหลอดอาหารที่อาจไม่ มีกลไกปิดแยกกับหลอดลม ทั้งนี้นักกิจกรรมบำบัดควรตรวจประเมินก่อนอธิบายวิธี การจัดการอาหารโดยช่วยเหลือในแต่ละกรณีไป เช่น การอมน้ำลายมากเกินปกติ ผู้ฝึกควรกระตุ้นช่วยการกลืนน้ำลายลงให้หมดก่อนที่ จะเริ่มป้อนอาหาร และที่สำคัญไม่ควรป้อนอาหารแบบยกช้อนขึ้น เพราะอาจทำให้ไหลลงไปตรงลิ้นส่วนปลายและกระเด็นไปสู่หลอดลมจนเกินอาการสำลัก ได้ แนะนำให้วางปลายช้อนตรงริมฝีปากตรงๆ แล้วให้ผู้ป่วยบังคับดูดหรือจัดการอาหารเข้าปากเอง
  • ในขณะที่รอผู้ป่วยจัดการอาหารในปาก หากใช้เวลานานมาก ให้ผู้ฝึกสังเกตการอมในรูปแบบต่างๆ ข้างต้น หรือสังเกตและประเมินว่ามีการยกขึ้นบริเวณกระดูกตรงลำคอเพื่อกลืนอาหารหรือ ไม่ หรือยกขึ้นหลายครั้งมาก นั้นหมายถึงกลไลการกลืนไม่สัมพันธ์กับอาหารที่จัดการแล้วในปากหรือยังคง ค้างอยู่ในปากด้วย ผู้ฝึกควรจับประเด็นปัญหาแล้วกระตุ้นทีละส่วนเริ่มจากส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การจัดการอาหารในปาก แล้วค่อยๆ ไปที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกลืนอาหาร ทั้งนี้อาจต้องมีการก้มคอ หรือหันคอไปที่ข้างอ่อนแรง หรือเอียงคอไปที่ข้างแข็งแรงกว่า เป็นต้น
  • ลักษณะเนื้ออาหารที่แข็งหรืออ่อนจนเกินไป ผู้ฝึกไม่ควรให้สลับติดต่อกัน เช่น ให้อาหารข้นหนึ่งคำแล้วตามด้วยอาหารเหลว อาจทำให้สำลักมากขึ้นได้และเป็นการยากที่จะบังคับให้กลืนอาหารที่มีลักษณะ ต่างกันมากเกินไปในช่วงเวลาใกล้กัน
  • ต้องคอยให้อาหารแต่ละแบบถูกกลืนลงไปให้หมดก่อน (ผู้ป่วยหลายรายมักกลืนซ้ำๆ รวม 3-5 ครั้ง) ถ้าอาหารแบบแข็งกลืนไม่ได้ ต้องปรับให้นิ่มขึ้น ถ้าอาหารแบบเหลวกลืนแล้วสำลัก ต้องปรับให้ข้นขึ้น ที่สำคัญผู้ฝึกต้องให้โอกาสผู้ป่วยเลือกอาหารที่ชอบเพื่อมาปรับลักษณะอาหาร ด้วย
  • หากทำทุกเทคนิคข้างต้น หากผู้ป่วยยังคงไอสำลัก นักกิจกรรมบำบัดควรประเมินความสัมพันธ์ระหว่างกลไกการหายใจและกลไกการกลืน จากกรณีศึกษารายนี้ มีการหายใจเบาๆ ตลอดทุกช่วงของการกินและการกลืนอาหาร ผมแนะนำให้ตรวจประเมินอัตราการหายใจเปรียบเทียบขณะพัก ขณะทานอาหาร และหลังทานอาหาร โดยดูจากจำนวนครั้งต่อนาทีในการยกของหน้าอก และความแรงของลมหายใจโดยการอังปลายนิ้วที่จมูก หากสังเกตเห็นการอ้าปาก-ไม่ปิดปากสนิทขณะทานอาหาร นั่นหมายถึงการหายใจเข้าออกทางปากมากกว่าทางจมูก ซึ่งจะทำให้ช่องปากแห้งและน้ำลายไหลออกมาเรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ เมื่อน้ำลายไหลออกมากก็จะล้นจนไหลทะลักสู้หลอดลมจนสำลักได้
  • หากมีปัญหาเรื่องการหายใจ นักกิจกรรมบำบัดควรออกแบบกิจกรรมการฝึกโดยเน้นการหายใจเข้าทางจมูก ก้มคอ และเป่าลมออกให้แรงโดยลำดับความยากของกิจกรรม เช่น กิจกรรมเป่ากระดาษ กิจกรรมเป่าเทียน กิจกรรมเป่าหลอดให้กระดาษชิ้นเล็กๆกระจาย กิจกรรมเป่าหลอดให้น้ำในแก้วเป็นฟอง กิจกรรมเป่าฟองสบู่ ทั้งนี้ฝึกแยกกับขั้นตอนการกลืนก่อน แล้วค่อยพร้อมการกลืนเมื่อทั้งสองกลไกพร้อมดีขึ้น
  • สิ่งที่ลืมไม่ได้ คือ ตรวจประเมิน Gag Reflex & Volitional Cough ว่ามีกลไกป้องกันอาการสำลักจากอาหารเมื่อแตะบริเวณ 1/3 โคนลิ้นหรือไม่ มีกลไกการไอแบบตั้งใจหรืออัตโนมัติ ซึ่งทั้งสองกลไกนี้มีผลต่อเนื่องกับระบบประสาทอัตโนมัติและระบบประสาทพิเศษ ของสมอง (Cranital Nerves) ที่จำเป็นต้องปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

บทเรียนจากการ สังเกตการณ์นักกิจกรรมบำบัดรุ่นใหม่ในการฟื้นฟูสมรรถภาพการกลืนอาหารของผู้ ป่วย จำเป็นต้องมีการทำงานเป็นทีมกับแพทย์และสหวิชาชีพอื่นๆ และต้องมีการฝึกประสบการณ์ทางคลินิกเฉพาะทางมากกว่านี้ หากไม่มีการอบรมเฉพาะทางด้วยประกาศนียบัตร...การรู้จัก ประเมิน และเข้าใจระดับความเชี่ยวชาญทางกิจกรรมบำบัดของตนเองแล้วขอคำปรึกษาผู้ เชี่ยวชาญหรือนักกิจกรรมบำบัดรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์น่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่ง ครับ

หมวดหมู่: การแพทย์ สุขภาพ สุขภาวะ
สัญญาอนุญาต: ซีซี: แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน Cc-by-nc-sa
สร้าง: ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 09:30 แก้ไข: ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 09:34

ความเห็น

1.
P
pa_daeng
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 10:40
#1715923 [ ลบ ]
  • สวัสดีค่ะ อาจารย์
  • ตอนนี้พ่อกำลังมีปัญหาเรื่องการกลืนไม่ได้ และดูท่าทางจะฝึกไม่ได้เลย
  • พยายามลองทำตามที่อาจารย์บอกมาแต่ไม่ได้ผลเลย คุณหมอทางกายภาพ แนะนำว่าอาจจะต้องใส่สายยางทางหน้าท้องค่ะ กำลังกังวลมาก
  • ขอบคุณอาจารย์ค่ะ จะลองฝึกพ่อไปเรื่อยๆค่ะ
2.
P
50043494346 อัญชุลี กุลบุตร
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 11:51
#1716061 [ ลบ ]

ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ

3.
P
Dr. Pop
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 11:54
#1716068 [ ลบ ]

ใจเย็นๆ ครับคุณ pa_daeng

แนะนำให้พาคุณพ่อตรวจประเมินให้แน่ชัด ว่า ทำไมโปรแกรมที่ผมได้แนะนำไปจึงไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะการฟื้นความสามารถของคุณพ่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีปัญหาสภาพทางระบบประสาทกล้ามเนื้อจนทำให้โปรแกรมเดิมไม่ได้ผล หรือผู้ฝึกอาจไม่เข้าใจเทคนิคที่แนะนำจนทำได้ไม่ถูกต้อง แล้วไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมในช่วง 3-6 สัปดาห์หลังจากการฝึก

ทั้งนี้ผมต้องขออภัยหากผมมิได้ติดตามความก้าวหน้าของผู้ป่วยได้ต่อเนื่อง เพราะติดภาระงานอาจารย์ในการสอนและวิจัยครับ

หลาย ครั้งที่ผมตรวจประเมินในแต่ละครั้ง ผมจะติดตามดูความก้าวหน้าของผู้ป่วยและพิจารณาประสิทธิผลของโปรแกรม หากไม่ได้ผล ญาติควรนำมารับการตรวจประเมินเพื่อให้นักกิจกรรมบำบัดปรับเปลี่ยนขั้นตอนการ บำบัดฟื้นฟูทุกครั้งครับ ทั้งนี้จะความสามารถในการกลืนกินอาหารของแต่ละรายจะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละ สถานการณ์และเวลาที่แตกต่างกันเสมอ แม้ว่าจะภายในวันเดียวกัน

ผมอยาก ให้ลองพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และไม่ต้องกังวลหากคุณหมอต้องให้ทานอาหารหน้าท้อง ผู้ป่วยหลายรายสามารถที่จะฟื้นสมรรถภาพการกินทางปากในบางมื้ออาหารได้ขณะให้ ทางหน้าท้องหลายๆมื้อ ครับ

หากมีความกังวลหรือสงสัยใดๆ รบกวนคุณ pa_daeng อีเมล์กลับมาเพื่อปรับเปลี่ยนโปรแกรมให้ตรงกับปัญหาหรือความสามารถของคุณพ่อ ในปัจจุบันครับ หากนักกิจกรรมบำบัดช่วยไม่ได้ ก็จะส่งต่อเพื่อปรึกษาทีมสหวิชาชีพทางการแพทย์ต่อไป

ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

4.
P
Dr. Pop
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 11:55
#1716070 [ ลบ ]

ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากคุณ 50043494346 อัญชุลี กุลบุตร ครับ

5.
P
โรจน์
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 12:22
#1716151 [ ลบ ]

รายละเอียดดีมากครับ คงต้องขออนุญาตินำเรื่องราวไปใช้ประโยชน์ต่อกับผู้ป่วยเยี่ยมบ้านที่ผมดูแลอยู่บะครับ

6.
30
Ajarn Pop [IP: 118.174.19.181]
เมื่อ ส. 05 ธ.ค. 2552 @ 20:41
#1716823 [ ลบ ]

ขอบคุณและยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่ความรู้ต่อยอดครับคุณโรจน์

7.
P
หมอสีอิฐ
เมื่อ อา. 06 ธ.ค. 2552 @ 09:38
#1717459 [ ลบ ]

ขอเป็นลูกศิษย์อาจารย์ด้วยคนครับ...

8.
30
Ajarn Pop [IP: 118.174.32.129]
เมื่อ อา. 06 ธ.ค. 2552 @ 20:23
#1718339 [ ลบ ]

ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับคุณหมอสีอิฐ

9.
30
กรุงโรม [IP: 119.31.98.224]
เมื่อ อ. 08 ธ.ค. 2552 @ 20:02
#1722072 [ ลบ ]

ขอถามคะ ตกลงเวลาป้อนอาหารแล้วกลืน สามารถก้มคอ หรือหันคอไปที่ข้างอ่อนแรง หรือเอียงคอไปที่ข้างแข็งแรงกว่า ได้ทั้ง2แบบเลยหรอคะ

10.
30
Ajarn Pop [IP: 202.28.180.202]
เมื่อ พ. 09 ธ.ค. 2552 @ 08:45
#1722853 [ ลบ ]

การจัดท่าทางขณะกลืนอาหาร มีเหตุผลทางคลินิก ดังนี้

1. ก้มคอเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อในการกลืนที่สมมาตรซ้ายขวา

2. หันคอไปข้างที่อ่อนแรงเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามนื้อที่แข็งแรงช่วยในการกลืน

3. เอียงคอไปที่ข้างแข็งแรงกว่าเพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง

4. ประสมประสานกล้ามเนื้อจากข้อ 1-3 ในขณะที่กลืนอาหารด้านตรง ด้านข้างซ้ายขวา

ขอบคุณครับคุณกรุงโรม

No comments:

Post a Comment